เมนู

อรรถกถาโสณทัณฑสูตร


เอวมฺเม สุตํ ฯ เป ฯ องฺเคสูติ โสณทณฺฑสุติตํ

.
ในโสณทัณฑสูตรนั้น มีการพรรณนาตามลำดับบท ดังต่อไปนี้
บทว่า ในอังคชนบท มีความว่า ราชกุมารทั้งหลาย นามว่า อังคะ
เป็นชาวชนบทที่มักเรียกกันอย่างนี้ ก็เพราะเป็นผู้มีรูปร่างน่าเลื่อมใส ชนบท
แม้เดียวซึ่งเป็นที่อาศัยอยู่ของราชกุมารเหล่านั้น ท่านก็เรียกว่า อังคชนบท
เพราะศัพท์เพิ่มเข้ามา. ในชนบทชื่ออังคะนั้น. บทว่า จาริก แม้ในชนบท
นี้ ท่านมุ่งหมายเอาการเสด็จจาริกไม่รีบร้อน และการเสด็จจาริกประจำ
ได้ยินว่า ในกาลนั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเล็งดูโลกธาตุทั้งหมื่นหนึ่ง
อยู่ โสณทัณฑพราหมณ์เข้าไปปรากฏในข่าย คือ พระญาณแล้ว.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพิจารณาอยู่ว่า พราหมณ์นี้ปรากฏในข่าย
คือญาณของเรา พราหมณ์นี้มีอุปนิสัยหรือไม่หนอ ก็ได้ทอดพระเนตรเห็น
ว่า เมื่อเราไป ณ ที่นั้น พวกลูกศิษย์ของเขาจะพากันกล่าวสรรเสริญ
พราหมณ์ด้วยอาการ 12 แล้วจะไม่ยอมให้เขามายังสำนักของเรา แต่
พราหมณ์นั้นจะทำลายวาทะของพวกลูกศิษย์เหล่านั้นเสียแล้ว กล่าวสรร-
เสริญเราด้วยอาการ 29 แล้วเข้ามาหาเราแล้วจักถามปัญหา ในที่สุดการ
เฉลยปัญหา เขาก็จักถึงสรณะ ดังนี้แล้ว พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ 500 รูปเป็น
บริวาร เสด็จไปสู่ชนบทนั้น. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า พระผู้มี
พระภาคเจ้าเสด็จจาริกไปในอังคชนบท เสด็จถึงเมืองจัมปา ดังนี้.

บทว่า ที่ฝั่งแห่งสระโบกขรณีชื่อคัคครา มีความว่า ในที่ไม่ไกล
เมืองจัมปานั้น มีสระโบกขรณีเรียกชื่อกันว่า คัคครา เพราะพระมเหสีของ
พระราชาทรงพระนามว่า คัคคราทรงขุดไว้ โดยรอบฝั่งสระนั้นมีป่าต้นจัมปา
ใหญ่ ประดับประดาด้วยดอกไม้ 5 สี มีสีเขียวเป็นต้น พระผู้มีพระภาค-
เจ้าเสด็จประทับอยู่ในป่าต้นจัมปา ซึ่งมีกลิ่นหอมระรื่นด้วยกลิ่นหอมของ
ดอกไม้. ท่านมุ่งหมายเอาป่าต้นจัมปานั้น จึงกล่าวว่า ที่ฝั่งแห่งสระโบก-
ขรณี ชื่อคัคครา.
ในบทนี้ว่า พระเจ้าพิมพิสารผู้ครองแคว้นมคธมีเสนาใหญ่ พระ
ราชาพระองค์นั้น ชื่อว่าผู้ครองแคว้นมคธ เพราะทรงเป็นผู้ใหญ่ของชาว
แคว้นมคธ ชื่อว่ามีเสนาใหญ่ เพราะประกอบพร้อมด้วยเสนาใหญ่. บท
ว่า พิมฺพิ แปลว่า ทองคำ. เพราะฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่า พิมพิสาร
เพราะเป็นผู้มีผิวพรรณเช่นเดียวกันทองคำแท้. ชนเป็นอันมากมารวมกัน
เพราะเหตุนั้น ชื่อว่า หมู่. หมู่ชนในแต่ละทิศของชนเหล่านั้นมีอยู่ เพราะ
เหตุนั้น ชนเหล่านั้นชื่อว่ามีหมู่. ครั้งแรกชนเหล่านั้นมิได้เป็นคณะกันใน
ภายในเมือง แต่ออกไปนอกเมืองแล้ว จึงรวมกันเป็นคณะ เพราะเหตุนั้น
ชื่อว่า รวมกันเป็นคณะ.
บทว่า เรียกที่ปรึกษามา ความว่า มหาอำมาตย์ผู้สามารถเฉลย
ปัญหาที่ถูกถามได้ เรียกว่า ขัตตะ (ที่ปรึกษา) เรียกที่ปรึกษาคนนั้นมา
บทว่า อาคเมนฺตุ แปลว่า จงรอสักประเดี๋ยว หมายความว่าอย่าเพิ่งไป
บทว่า ผู้อยู่ต่างแดน ความว่า พราหมณ์ทั้งหลายผู้เกิดในแดน
ต่าง ๆ กัน คือในแดนมีแคว้นกาสี และแคว้นโกศล เป็นต้น คนละแห่ง
แดนเหล่านั้นเป็นที่อยู่อาศัยของพวกเขา หรือว่า พวกเขามาจากแดนนั้น
เพราะฉะนั้น พราหมณ์เหล่านั้นชื่อว่า ผู้อยู่ต่างแดน แห่งพราหมณ์ทั้ง

หลายผู้อยู่ต่างแดนกันเหล่านั้น. บทว่า ด้วยกรณียกิจบางอย่าง ความว่า
ได้ยินว่าพวกพราหมณ์ทั้งหลาย ในนครนั้นประชุมกันด้วยกรณียกิจสองอย่าง
คือเพื่อจะร่วมทำการบูชายัญ หรือเพื่อการสาธยายมนต์. และในคราวนั้นใน
นครนั้น ไม่มีการบูชายัญ. แต่พราหมณ์เหล่านั้น มาประชุมกันในสำนัก
ของโสณทัณฑพราหมณ์ เพื่อสาธยายมนต์ ท่านกล่าวว่า ด้วยกรณียกิจ
บางอย่าง หมายเอาการสาธยายมนต์นั้น.
พราหมณ์เหล่านั้นได้ทราบว่า การไปของโสณทัณฑพราหมณ์นั้นแล้ว
โสณทัณฑพราหมณ์นี้เป็นพราหมณ์ชั้นสูง และพราหมณ์เหล่าอื่นโดยมาก
คิดว่าถึงสมณโคดมเป็นสรณะ โสณทัณฑพราหมณ์นี้เท่านั้นยังไม่ไป ถ้า
เขานี้แหละจักไป เขาก็จักถูกมายาที่นำให้งงงวยของพระสมณโคดมทำให้
หลงใหลแล้ว จักถึงพระโคดมเป็นสรณะแน่แท้ แต่นั้นไป สันนิบาตของ
พวกพราหมณ์ที่ประตูเรือนของโสณทัณฑพราหมณ์แม้นั้นก็จักไม่มี เอา
เถอะ เราจะขัดขวางไม่ให้เขาไปได้ ดังนี้ ปรึกษากันแล้วจึงไปในที่นั้น.
ท่านหมายเอาข้อนั้น จึงได้กล่าวคำเป็นต้นว่า ครั้งนั้นแล พราหมณ์ทั้ง
หลาย ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ด้วยองค์แม้นี้ คือด้วยเหตุนี้. พวก
พราหมณ์ครั้นกล่าวเหตุนั้นอย่างนี้แล้ว คิดอีกว่า ธรรมดาคนเมื่อเขากล่าว
สรรเสริญตนที่จะไม่ยินดีหามีไม่ เอาเถอะ พวกเราจะห้ามการไปของเขา
ด้วยการกล่าวสรรเสริญเขา จึงกล่าวเหตุหลายอย่างเป็นต้นว่า ก็โสณทัณฑ-
พราหมณ์ผู้เจริญเป็นอุภโตสุชาต เป็นต้น.
บทว่า สองฝ่าย คือ จากฝ่ายทั้งสอง คือจากมารดา และจาก
บิดา. โสณทัณฑพราหมณ์ผู้เจริญเป็นอุภโตสุชาต ทั้งฝ่ายมารดาทั้งฝ่าย
บิดา อย่างนี้ คือมารดาของโสณทัณฑพราหมณ์ผู้เจริญเป็นนางพราหมณี

มารดาของมารดาเป็นนางพราหมณี มารดาแม้ของมารดาของมารดานั้นก็
เป็นนางพราหมณี บิดาเป็นพราหมณ์ บิดาของบิดาเป็นพราหมณ์ บิดาแม้
ของบิดาของบิดานั้น ก็เป็นพราหมณ์. บทว่า มีครรภ์ที่ถือปฏิสนธิหมดจดดี
ความว่า ครรภ์เป็นที่ถือปฏิสนธิ คือท้องของมารดา หมดจดดี. แต่ใน
บทนี้ว่า สมเวปากินิยา คหณิยา ไฟธาตุอันเกิดจากกรรมท่านเรียกว่า
คหณี (ครรภ์เป็นที่ถือปฏิสนธิ). ในบทว่า ตลอด 7 ชั่วคนนี้
ความว่าบิดาของบิดาชื่อปิตามหะ (ปู่) ยุคแห่งปิตามหะชื่อปิตามหยุค.
ประมาณของอายุท่านเรียกว่ายุค. ก็คำนี้เป็นเสียงชื่อยุคเท่านั้น. แต่โดย
ความ ปิตามหะนั้นแหละ ชื่อปิตามหยุค บรรพบุรุษแม้ทั้งปวงเหนือขึ้น
ไปจากปิตามหะนั้น ท่านก็ใช้คลุมถึงด้วยปิตามหะศัพท์นี้แหละ เขาเป็นผู้มี
ครรภ์เป็นที่ถือปฏิสนธิ อันหมดจดดีตลอด 7 ชั่วคนด้วยประการฉะนี้.
อีกประการหนึ่ง พราหมณ์ทั้งหลายแสดงว่า เขาเป็นผู้อันใครดูถูกไม่ได้
ไม่ถูกตำหนิด้วยการกล่าวอ้างถึงชาติ. บทว่า ผู้อันใคร ๆ ดูถูกไม่ได้ คือ
ใคร ๆ ดูถูกไม่ได้ ได้แก่ผลักไสไม่ได้ ว่าพวกท่านจักไล่เขาไปเสีย จะ
ประโยชน์อะไรกับคนคนนี้ ดังนี้. บทว่า ไม่ถูกตำหนิ คือไม่ถูกติเตียน
ได้แก่ไม่เคยที่จะได้รับคำด่าว่า หรือติเตียนเลย. ถามว่า เพราะเหตุไร.
แก้ว่า เพราะการกล่าวอ้างถึงชาติ. ความว่า เพราะถ้อยคำเห็นปานนี้ว่า
แม้เพราะเหตุนี้เขาเป็นคนมีชาติต่ำทราม ดังนี้.
บทว่า ผู้มั่งคั่ง คือผู้เป็นใหญ่. บทว่า มีทรัพย์มาก คือประกอบ
พร้อมด้วยทรัพย์มากมาย. พราหมณ์ทั้งหลายแสดงว่า ก็ในเรือนของท่าน
ผู้เจริญมีทรัพย์มาก ราวกะฝุ่นและทรายในแผ่นดิน แต่พระสมณโคดมไม่
มีทรัพย์ เที่ยวขอเขาพอเต็มท้องเลี้ยงชีวิต. บทว่า มีโภคะมาก คือมีเครื่อง
อุปโภคมากด้วยอำนาจแห่งกามคุณห้า. พวกพราหมณ์ทั้งหลายสำคัญอยู่ว่า

ชนทั้งหลายกล่าวคุณใด ๆ พวกเราจะแสดงสิ่งที่มิใช่คุณอย่างเดียวด้วยอำนาจ
เป็นปฏิปักษ์ต่อคุณนั้น ๆ ดังนี้ จึงได้กล่าวอย่างนั้น.
บทว่า มีรูปสวย คือ มีรูปงามยิ่ง ได้แก่มีรูปดียิ่งกว่าเหล่ามนุษย์
อื่นๆ. บทว่า น่าดู คือชื่อว่าน่าดู เพราะทำให้ไม่รู้จักอิ่มเอิบแก่ชนผู้ดูอยู่
แม้ตลอดวัน ชื่อว่าน่าเลื่อมใส เพราะให้เกิดความเลื่อมใสแห่งจิตด้วยการ
ดูนั่นแหละ. ความดีงาม ท่านเรียกว่า ความสวย ความที่ผิวพรรณเป็น
ของสวยงาม ชื่อว่า มีผิวพรรณสวยงาม ความว่า ประกอบด้วยวรรณ-
สมบัตินั้น. แต่ท่านโบราณาจารย์ทั้งหลายกล่าวว่า ชนทั้งหลายเรียกสรีระ
ว่า โปกขระ วรรณะนั่นแหละว่า วรรณะ. ตามมติของท่านโบราณาจารย์
เหล่านั้น วรรณะด้วยรูปร่าง ด้วยชื่อวรรณะรูปร่างความมีแห่งผิว
พรรณและรูปร่าง เหล่านั้น ชื่อว่า ความมีผิวพรรณและรูปร่าง เขาประกอบ
ด้วยความมีผิวพรรณและรูปร่างอย่างยิ่งด้วยประการฉะนี้ ความว่า ประกอบ
ด้วยผิวพรรณและสมบัติแห่งสรีระสัณฐานอันบริสุทธิ์อย่างสูงสุด.
บทว่า มีผิวพรรณดังพรหม คือ มีผิวพรรณอันประเสริฐสุด ความ
ว่า ประกอบพร้อมด้วยผิวพรรณประดุจทองคำอันประเสริฐสุด แม้ในบรรดา
ผู้มีผิวพรรณอันบริสุทธิ์ทั้งหลาย. บทว่า มีรูปร่างดังพรหม คือ ประกอบ
พร้อมด้วยรูปร่างเช่นกับรูปร่างของท้าวมหาพรหม. บทว่า น่าดู น่าชม
มิใช่น้อย คือ ช่องทางที่จะดูในรูปร่างของท่านผู้เจริญมิใช่เล็กน้อย คือ
มาก. พราหมณ์ทั้งหลายแสดงว่า อวัยวะน้อยใหญ่ของท่านแม้ทุกส่วนเป็น
ของน่าดู และอวัยวะน้อยใหญ่เหล่านั้นก็ใหญ่ด้วย ดังนี้.
ศีลของบุคคลนั้นมีอยู่ เหตุนั้นเขาชื่อว่าเป็นผู้มีศีล ศีลที่เจริญแล้ว
คืองอกงามแล้ว ของบุคคลนั้นมีอยู่ เหตุนั้นเขาชื่อว่าเป็นผู้มีศีลอันเจริญ
แล้ว. บทว่า ด้วยศีลอันเจริญ คือ ด้วยศีลอันเจริญนั่นแหละ คือที่งอก

งามแล้ว. บทว่า มาถึงพร้อมแล้ว คือ ประกอบแล้ว. คำนี้เป็นไวพจน์
ของ บทว่า มีศีลอันเจริญแล้ว. คำทั้งหมดนั้นท่านกล่าวหมายเอาเพียง
ศีลห้าเท่านั้น.
ในบททั้งหลายมีบทว่า มีวาจางามเป็นต้น มีความว่า วาจาอัน
งาม คือดี ได้แก่มีบทและพยัญชนะกลมกล่อมของบุคคลนั้นมีอยู่ เหตุนั้น
เขาชื่อว่ามีวาจางาม. บทว่า มีสำเนียงไพเราะ คือสำเนียงอันไพเราะ คือ
อ่อนหวานของบุคคลนั้นมีอยู่ เหตุนั้น เขาชื่อว่ามีสำเนียงไพเราะ บทว่า
สำเนียง ได้แก่เสียงกังวาลที่เปล่งออก. วาจามีอยู่ในเมือง เพราะบริบูรณ์
ด้วยคุณความดี เหตุนั้น จึงชื่อว่าเป็นของชาวเมือง. อีกประการหนึ่ง ชื่อ
ว่าโปรี เพราะมีวาจาเช่นกับความที่หญิงชาวเมือง คือหญิงชาวเมืองเป็นผู้
ละเอียดอ่อน เพราะความที่ตนอยู่ในเมือง. ด้วยวาจาหญิงชาวเมืองนั้น.
บทว่า วิสฺสายตํถ ความว่า ไม่พร่า คือเว้นจากโทษมีความชักช้าที่ตน
เห็นแล้วเป็นต้น.
บทว่า หาโทษมิได้ คือเว้นจากการกลืนน้ำลาย. จริงอยู่ เมื่อ
ใคร ๆ พูดอยู่ น้ำลายไหลเข้าหรือว่า น้ำลายไหลออก หรือว่า ฟองน้ำลาย
กระเซ็นออกมา วาจาของผู้นั้นชื่อว่า ชุ่มด้วยน้ำลาย ความว่า วาจาที่
ตรงกันข้ามกับวาจานั้น. บทว่า ให้รู้ใจความได้ คือสามารถให้รู้ใจความ
ที่กล่าวได้ชัดเจนทั้งเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด.
บทว่า แก่แล้ว คือเป็นคนแก่ เพราะเป็นผู้คร่ำคร่าด้วยชรา. บท
ว่า เป็นผู้เฒ่า คือถึงขีดสุดแห่งความเจริญของอวัยวะน้อยใหญ่. บทว่า
เป็นผู้ใหญ่ คือประกอบพร้อมด้วยความเป็นผู้ใหญ่โดยชาติ อธิบายว่า เกิด
มานานแล้ว บทว่า ผ่านเวลามานาน คือล่วงเวลานาน อธิบายว่า
ล่วงเลยมาตั้ง 2-3 รัชกาลแล้ว. บทว่า ผ่านวัยแล้ว คือ ผ่านถึงปัจฉิม-

วัยแล้ว ส่วนที่สาม อันเป็นที่สุดแห่ง 100 ปี ชื่อว่า ปัจฉิมวัย อีกนัย
หนึ่ง บทว่า แก่แล้ว คือเก่าแก่ อธิบายว่า เป็นไปตามวงศ์สกุลที่เป็นไป
แล้วสิ้นกาลนาน. บทว่า เป็นผู้เฒ่า คือประกอบด้วยความเจริญด้วยคุณมี
ศีลและอาจาระเป็นต้น. บทว่า เป็นผู้ใหญ่ คือ ประกอบพร้อมด้วยความ
เป็นผู้ใหญ่ด้วยสมบัติ. บทว่า ผ่านเวลามานาน คือเดินทางมา ได้แก่มี
ปกติประพฤติไม่ล่วงละเมิดมารยาท มีวัตรจริยาเป็นต้นของพวกพราหมณ์.
บทว่า ผ่านวัยแล้ว คือผ่านถึงแม้ความเป็นผู้เจริญด้วยชาติอันเป็นวัยสุด
ท้ายแล้ว.
บทว่า เมื่อพวกพราหมณ์กล่าวอย่างนี้แล้ว ความว่า เมื่อพวก
พราหมณ์เหล่านั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว โสณทัณฑพราหมณ์คิดว่า พวก
พราหมณ์เหล่านี้กล่าวสรรเสริญคุณของเราด้วยชาติเป็นต้น แต่การที่ เราจะ
ยินดีในการกล่าวสรรเสริญคุณของตนไม่สมควรแก่เราเลย เอาเถอะ เราจะ
ทำลายวาทะของพวกเขาเสียแล้วให้พวกเขารู้ว่าพระสมณโคดมเป็นผู้ใหญ่
จะทำให้พวกเขาไปในที่นั้น ดังนี้ แล้วจึงกล่าวคำเป็นต้นว่า ท่านผู้เจริญ
ถ้ากระนั้น ขอพวกท่านจงฟังคำของข้าพเจ้าบ้าง. โสณทัณฑพราหมณ์สำคัญ
เห็นคุณทั้งหลายที่ยิ่งกว่าคุณของตนว่า ในคุณเหล่านั้น คุณแม้เหล่าใด
เช่นเดียวกับคุณของตนมีว่า อุภโตสุชาตเป็นต้น คุณแม้เหล่านั้น ก็เป็น
คุณมีชาติสมบัติเป็นต้น ของพระสมณโคดม ดังนี้ จึงได้ประกาศคุณเหล่านี้
เพื่อที่จะแสดงความที่พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระคุณยิ่งใหญ่โดยส่วนเดียวโดย
แท้.
ก็โสณทัณฑพราหมณ์เมื่อจะกำหนดแน่อย่างนี้ว่า พวกเรานั่นแหละ.
ควรไปเฝ้า จึงแสดงคำนี้ในที่นี้ว่า ถ้ามีบุคคลที่ควรเข้าไปหา เพราะความ
เป็นผู้มีคุณใหญ่ เพราะฉะนั้น พวกเรานั่นแหละควรจะเข้าไปเฝ้าเพื่อทัศนา

พระโคดมผู้เจริญนั้น เปรียบเหมือนเมล็ดผักกาด เมื่อนำไปเที่ยวกับ
เขาสิเนรุ รอยเท้าโค. เมื่อนำไปเทียบกับมหาสมุทร หยดน้ำค้าง เมื่อนำ
ไปเทียบกับน้ำในสระใหญ่ 7 สระ ก็เป็นของกะจิ๊ดริด คือ เล็กน้อยฉันใด
คุณของพวกเรา เมื่อนำไปเทียบกับพระคุณมีพระชาติสมบัติเป็นต้น ของ
พระสมณโคดม เป็นของนิดหน่อย คือ เล็กน้อย ฉันนั้น เพราะฉะนั้น
พวกเรานั้นแหละ ควรไปเฝ้าพระโคดมผู้เจริญ.
บทว่า ทรงละหมู่พระญาติมากมาย คือทรงละตระกูลพระญาติ
แสนหกหมื่นอย่างนี้ คือ ฝ่ายพระมารดาแปดหมื่น ฝ่ายพระบิดาแปดหมื่น.
ในบทนี้ว่า อยู่ในดินและตั้งอยู่ในอากาศ ทรัพย์ที่เขาขุดสระโบก-
ขรณีที่ฉาบปูนเกลี้ยงในพระลานหลวง และในพระราชอุทยาน ใส่แก้ว 7
ประการจนเต็ม แล้วฝังไว้ในแผ่นดิน ชื่อว่าทรัพย์อยู่ในดิน. ส่วนทรัพย์
ที่ตั้งไว้จนเต็มประสาทและป้อม เป็นต้น ชื่อว่า ตั้งอยู่ในอากาศ. ทรัพย์
ที่ตกทอดมาตามความหมุนเวียนแห่งตระกูลมีเพียงเท่านี้ก่อน. แต่ในวันที่
พระตถาคตอุบัติขึ้นแล้วนั่นแหละ มีขุมทรัพย์ 4 ขุม คือ ขุมทรัพย์ชื่อ
สังขะ 1 ชื่อเอละ 1 ชื่ออุปปละ 1 ชื่อปุณฑริก 1
ผุดขึ้นแล้ว. บรรดา
ขุมทรัพย์ทั้ง 4 นั้น ขุมทรัพย์ชื่อสังขะมีคาวุตหนึ่ง ขุมทรัพย์ชื่อเอละมี
ครึ่งโยชน์ ขุมทรัพย์ชื่ออุปปละมีสามคาพยุต ขุมทรัพย์ชื่อปุณฑริกะมี
โยชน์หนึ่ง ทรัพย์ที่ถือเอา ๆ แม้ในขุมทรัพย์เหล่านั้น ก็กลับเต็มอีก.
พึงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงละเงินทองมากมายแล้ว ออกผนวช
ด้วยประการฉะนี้.
บทว่า ยังเป็นคนหนุ่ม คือยังเป็นเด็ก. บทว่า มีพระเกศาดำสนิท
คือมีพระเกศาดำขลับ ความว่า มีพระเกศาเช่นเดียวกับสียาหยอดตา.
บทว่า เจริญ คือ ดี. บทว่า วัยที่หนึ่ง คือ ปฐมวัยในบรรดาวัยทั้งสาม.

บทว่า ไม่ใคร่อยู่ คือไม่ปรารถนา. คำนี้เป็นฉัฏฐีวิภัติลงในอรรถ
ว่าอนาทร. น้ำตาที่หน้าของชนเหล่านั้นมีอยู่ เหตุนั้นเขาชื่อว่าหน้านอง
ด้วยน้ำตา. ความว่า เมื่อพระมารดาบิดาเหล่านั้นมีพระพักตร์นองด้วยน้ำ-
พระเนตร คือมีพระพักตร์เปียกชุ่มด้วยน้ำพระเนตร. บทว่า ทรงกันแสงอยู่
คือทรงกันแสงคร่ำครวญอยู่.
ในบทว่า ช่องทางมิใช่น้อย นี้ พึงทราบความว่า ช่องทางที่จะ
ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าหาประมาณมิได้. ในที่นี้ มีเรื่องดังต่อไปนี้.
ได้ยินว่า ในกรุงราชคฤห์มีพราหมณ์คนหนึ่ง ทราบว่า เขาเล่า
ว่า ใคร ๆ ย่อมไม่สามารถที่จะถือเอาประมาณของพระสมณโคดมได้ ใน
เวลาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปบิณฑบาต ถือเอาไม้ไผ่ยาว 60 ศอก
ยืนอยู่ข้างนอกประตูเมือง เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาถึง ถือเอา
ไม้ไผ่ ได้ยืนอยู่ในที่ใกล้. ไม้ไผ่ยาวถึงแค่พระชานุของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
ในวันรุ่งขึ้นเขาจึงต่อไม้ไผ่สองลำแล้วได้ยืนอยู่ในที่ใกล้. แม้พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าก็ทรงปรากฏเพียงแค่พระสะเอวเท่านั้น เหนือไม้ไผ่สองลำนั้นจึง
ตรัสว่า พราหมณ์ท่านทำอะไร. เขาทูลว่า ข้าพระองค์จะวัดส่วนพระองค์.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า พราหมณ์ แม้ถ้าท่านจักต่อไม้ไผ่ที่เกิดอยู่เต็ม
ท้องแห่งจักรวาลทั้งสิ้นเข้าด้วยกันแล้ว ท่านก็จักไม่สามารถที่จะวัดเราได้
เพราะว่าบารมีตลอดสี่อสงไขยและแสนกัป เรามิได้บำเพ็ญโดยประการที่
คนอื่นพึงวัดเราได้ พราหมณ์ ตถาคตใครๆ จะชั่งมิได้ ใครๆ จะประมาณ
มิได้ ดังนี้แลตรัสคาถาในธรรมบทว่า
เมื่อบุคคลบูชาท่านผู้เยือกเย็นแล้ว ไม่มีภัยแต่ที่ไหน ๆ
เช่นนั้นอยู่ ใคร ๆ ไม่อาจที่จะนับบุญได้ว่า เพียงเท่านี้ดังนี้
ในที่สุดแห่งคาถา สัตว์ 84,000 ได้ดื่มน้ำอมฤตแล้ว.

ยังมีเรื่องแม้อื่นอีก ได้ยินว่า ท้าวอสุรินทรราหูสูงได้ 4,800
โยชน์. ระหว่างแขนของเขาวัดได้ 1,200 โยชน์ ระหว่างนมวัดได้ 600
โยชน์. พื้นมือและพื้นเท้าหนาได้ 300 โยชน์. ข้อนิ้วยาวได้ 50 โยชน์.
ระหว่างคิ้วกว้าง 50 โยชน์. หน้ายาว 200 โยชน์. ลึกได้ 300 โยชน์.
มีปริมณฑลได้ 300 โยชน์. คอยาวได้ 300 โยชน์. หน้าผากยาวได้
300 โยชน์. ศีรษะยาวได้ 900 โยชน์. เขาคิดว่า เราสูงมาก จักไม่สามารถ
ที่จะน้อมตัวลงแลดูพระศาสดาได้ ดังนี้ จึงไม่มาเฝ้า. วันหนึ่งเขาได้
ฟังพระคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงมาด้วยคิดว่า เราจักมองดูโดยอาการ
อย่างใดอย่างหนึ่ง. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบอัชฌาสัยของเขาแล้วทรง
ดำริว่า เราจักแสดงด้วยอิริยาบถไหน ในบรรดาอิริยาบถทั้งสี่ ทรง
ดำริว่า ธรรมดาคนยืน แม้จะต่ำก็ปรากฏเหมือนคนสูง แต่เราจักนอน
แสดงตนแก่เขา ดังนี้แล้ว จึงตรัสว่า อานนท์ เธอจงตั้งเตียงในบริเวณ
คันธกุฏี แล้วทรงสำเร็จสีหไสยาสน์บนเตียงนั้น. ท่านอสุรินทรราหูมาแล้ว
ชูคอขึ้นมองดูพระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับนอนอยู่ราวกะว่าพระจันทร์เต็ม
ดวงในท่ามกลางท้องฟ้า และเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า อสุรินทะ นี้
อะไร จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์มิได้มาเฝ้า
ด้วยคิดว่า เราจักไม่สามารถที่จะโน้มตัวลงแลดูได้ ดังนี้. พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าตรัสว่า อสุรินทะ เรามิได้ก้มหน้าบำเพ็ญบารมีมา เราให้ทานทำให้
เลิศทั้งนั้น ดังนี้. วันนั้น อสุรินทรราหู ได้ถึงสรณะ. พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงน่าดูน่าชมมิใช่น้อย ด้วยประการดังนี้.
บุคคลชื่อว่าเป็นผู้มีศีล เพราะปาริสุทธิศีล 4 ก็ศีลนั้นเป็นของ
ประเสริฐ คือสูงสุด ได้แก่ เป็นศีลบริสุทธิ์ เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า
มีศีลอันประเสริฐ. ศีลนั้นนั่นเองเป็นกุศล เพราะอรรถว่า ไม่มีโทษ.

เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่ามีศีลเป็นกุศล. คำว่า ด้วยศีลอันเป็นกุศลนี้
เป็นไวพจน์ของคำว่า มีศีลเป็นกุศลนั้น.
บทว่า เป็นอาจารย์ และปาจารย์ ของคนเป็นอันมาก ความว่า
ในการแสดงธรรมครั้งหนึ่ง ๆ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า สัตว์มีประมาณ
84,000 และเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายหาประมาณมิได้ ย่อมได้ดื่มน้ำอมฤต
คือ มรรคและผล เพราะฉะนั้น พระองค์จึงจัดว่าเป็นอาจารย์ของคนเป็นอัน
มาก และเป็นปาจารย์ของสาวกผู้เป็นเวไนย.
ในบทว่า มีกามราคะสิ้นแล้วนี้ ความว่า กิเลสแม้ทั้งปวงของ
พระผู้มีพระภาคเจ้าสิ้นไปแล้วโดยแท้. แต่พราหมณ์ไม่รู้กิเลสเหล่านั้น จึง
กล่าวคุณไปในฐานะแห่งความรู้ของตนนั่นแหละ. บทว่า เลิกประดับตก-
แต่งแล้ว
คือเว้นจากการประดับตกแต่งที่ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ว่า การตก-
แต่งบาตร การตกแต่งจีวร การตกแต่งเสนาสนะ การเล่นสนุกสนานแห่ง
ร่างกายอันเน่านี้.
บทว่า ไม่ทรงมุ่งร้าย คือ แสดงความเคารพธรรมที่ไม่เป็นบาปคือ
โลกุตรธรรม 9 ประการ เที่ยวไป. บทว่า ต่อประชาชนที่เป็นพราหมณ์ คือ
ต่อคนที่เป็นพราหมณ์ต่าง ๆ กันเป็นต้นว่า พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ
และพระมหากัสสปะ และพระองค์เป็นผู้แสดงความนับถือประชาชนนั้น.
อธิบายว่า ก็ประชาชนนี้กระทำพระสมณโคดมไว้เบื้องหน้าเที่ยวไป. อีก
ประการหนึ่ง บทว่า ไม่ทรงมุ่งร้าย ความว่า ไม่ทรงกระทำบาปไว้เบื้องหน้า
เที่ยวไป คือ ไม่ปรารถนาลามก. อธิบายว่า ไม่ทรงมุ่งร้ายต่อประชาชนที่
เป็นพราหมณ์นั้น คือต่อประชาชนที่เป็นพราหมณ์ แม้จะเป็นปฎิปักษ์กับตน
คือเป็นผู้หวังประโยชน์สุขแต่อย่างเดียว.

บทว่า ต่างรัฐ คือจากรัฐอื่น. บทว่า ต่างชนบท คือจากชนบท
อื่น บทว่า ต่างพากันมาเพื่อทูลถามปัญหา ความว่า กษัตริย์และบัณฑิต
เป็นต้นก็ดี เทวดาพรหมนาคและคนธรรพ์เป็นต้นก็ดี ต่างตระเตรียมปัญหา
มาเฝ้าด้วยคิดว่า พวกเราจักถาม ในบรรดาชนเหล่านั้น บางจำพวกกำหนด
เห็นโทษของการถาม หรือความที่ตนไม่สามารถในการยอมรับข้อเฉลย จึง
ไม่ทูลถามเลย แล้วนั่งนิ่งเสีย บางจำพวกทูลถาม สำหรับบางจำพวก
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้เกิดความอุตสาหะในการถามแล้ว จึงทรงเฉลย
ความเคลือบแคลงของชนเหล่านั้นแม้ทั้งสิ้น มาถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว
ก็เสื่อมคลายไป เหมือนคลื่นในมหาสมุทร มาถึงฝั่งแล้วก็สลายไปฉะนั้น
ด้วยประการฉะนี้.
บทว่า มีปกติกล่าวเชื้อเชิญ ความว่า พระองค์ย่อมตรัสกะคน
ผู้มาสู่สำนักของพระองค์นั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นเทวดา มนุษย์ บรรพชิตและ
คฤหัสถ์อย่างนี้ว่า เชิญท่านเข้ามาสิ ท่านมาดีแล้ว (เราขอต้อนรับท่าน)
ดังนี้. บทว่า เจรจาผูกไมตรี คือ ทรงประกอบพร้อมด้วยพระดำรัสผูก
ไมตรีที่ท่านกล่าวไว้โดยนัยเป็นต้นว่า บรรดาวาจาเหล่านั้น คำพูดผูกไมตรี
เป็นไฉน คำพูดผูกไมตรี คือวาจาที่หาโทษมิได้ เป็นวาจาดี ไพเราะเสนาะ
หู ดังนี้ อธิบายว่า มีพระดำรัสอ่อนหวาน. บทว่า ช่างปราศรัย คือทรง
ฉลาดในการปฏิสันถาร ความว่า พระองค์ทรงกระทำสัมโมทนียกถาก่อน
ทีเดียว ดังจะทรงระงับความกระวนกระวายเพราะเดินทางไกลของเหล่า
บริษัททั้งสี่ ผู้มาแล้ว ๆ ได้สิ้น โดยนัยเป็นต้นว่า ภิกษุ เธอสบายดีแล
หรือ อาหาร การฉันยังพอเป็นไปได้แลหรือ. บทว่า ไม่สยิ้วพระพักตร์
ความว่า บางคนเข้าไปยังประชุมที่แล้วมีหน้าเคร่งขรึม มีหน้าขึ้งเครียดฉันใด
พระองค์มิได้เป็นเช่นนั้น. แต่การเห็นที่ประชุมของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น

เป็นเหมือนดอกปทุมที่บานแล้วด้วยการต้องแสงแดดอ่อน เป็นราวกะรัศมี
แห่งพระจันทร์เต็มดวง.
บทว่า มีพระพักตร์เบิกบาน ความว่า ท่านแสดงไว้ว่า คนบางจำ
พวกมีหน้าคว่ำ เมื่อชุมนุมชนมาประชุมกันแล้ว ก็ไม่พูดอะไร เป็นคนที่มีคำ
พูดอันได้ด้วยยากฉันใด แต่พระสมณโคดมไม่เป็นเช่นนั้น เป็นผู้มีพระ
วาจาได้ด้วยง่าย สำหรับผู้ที่มาสู่สำนักของพระองค์ไม่เกิดความเดือดร้อนใจ
ว่า พวกเรามาในที่นี้เพราะเหตุไร แต่ชนทั้งหลายได้ฟังธรรมแล้ว ย่อมมี
ใจยินดีโดยแท้. บทว่า มีปกติตรัสก่อน คือ พระองค์เนื้อจะตรัสย่อมตรัส-
ก่อน และพระดำรัสก็ประกอบด้วยกาล. พระองค์ก็ตรัสแต่ถ้อยคำประกอบ
ด้วยประมาณ อาศัยประโยชน์โดยแท้ ไม่ตรัสถ้อยคำอันหาประโยชน์
มิได้.
บทว่า ในบ้านนั้นหรือ ความว่า ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า
ประทับอยู่ ณ ที่ใด เทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่ย่อมถวายอารักขา. เพราะอาศัย
เทวดาเหล่านั้น อุปัทวะย่อมไม่มีแก่มนุษย์ทั้งหลาย. ก็ปิศาจทั้งหลายมี
ปิศาจคลุกฝุ่นเป็นต้น ย่อมเบียดเบียนมนุษย์. ปิศาจเหล่านั้นย่อมหลีกไปไกล
ด้วยอานุภาพของเทวดาเหล่านั้น. อีกประการหนึ่ง แม้เพราะกำลังแห่งพระ-
เมตตาของพระผู้มีพระภาคเจ้า พวกอมนุษย์ก็ไม่เบียดเบียนมนุษย์.
ในบททั้งหลายมีบทว่า เป็นเจ้าหมู่เป็นต้น ความว่า หมู่ที่คนพึง
พร่ำสอนหรือที่คนให้เกิดเองของบุคคลนั้นมีอยู่ เหตุนั้นเขาชื่อว่าเป็นเจ้า
หมู่. อนึ่ง คณะเช่นนั้นของบุคคลนั้นอยู่ เหตุนั้นเขาชื่อว่าเป็นเจ้าคณะ.
อีกประการหนึ่ง คำนี้เป็นไวพจน์ของบทแรก. พระองค์ทรงเป็นอาจารย์
ของคณะด้วยอำนาจแห่งการให้เขาศึกษาเรื่องอาจาระ เหตุนั้น จึงชื่อว่า ผู้
เป็นคณาจารย์. บทว่า แห่งเจ้าลัทธิมากมาย คือ แห่งเจ้าลัทธิจำนวนมาก

บทว่า โดยประการใดประการหนึ่ง คือ ด้วยเหตุแม้เพียงสักว่า ไม่นุ่งผ้า
เป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่ง บทว่า ย่อมรุ่งเรือง คือ ย่อมเข้าไปถึงโดยรอบ
ได้แก่เจริญยิ่งขึ้น.
บทว่า เขาเหล่านั้นเป็นแขก ความว่า เขาเหล่านั้นเป็นอาคันตุกะ
คือเป็นแขกหน้าใหม่ของพวกเรา. บทว่า เรียนรู้ คือรู้จัก. ด้วยบทว่า มีพระ
คุณอันจะพึงนับมิได้
โสณทัณฑพราหมณ์แสดงว่า มีพระคุณอันหาที่เปรียบ
มิได้ แม้ด้วยพระสัพพัญญูเห็นปานนั้น จะป่วยกล่าวไปไยด้วยบุคคลเช่น
เราเล่า. สมจริง ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า
หากว่าแม้พระพุทธเจ้าพึงตรัสพระคุณของพระพุทธเจ้า
ไม่ตรัสอย่างอื่นเลยในกัปหนึ่งก็จะพึงหมดสิ้นไปใน
ระหว่าง เป็นเวลานานพระคุณของพระตถาคตหาสิ้นไป
ไม่
ดังนี้
ก็พวกพราหมณ์เหล่านั้นได้ฟังคุณกถาของพระศาสดานี้แล้ว ต่างคิด
ว่า โสณทัณฑพราหมณ์กล่าวคุณของพระสมณโคดม พระโคดมผู้เจริญ
นั้นมีพระคุณหาน้อยไม่ ก็แลอาจารย์ผู้รู้คุณของพระโคดมนั้นอย่างนี้ ได้รอ
คอยนานเกินไป เอาเถอะ พวกเราจะคล้อยตามเขาดังนี้ คล้อยตามแล้ว.
เพราะฉะนั้นท่านจึงกล่าวว่า เมื่อโสณทัณฑพราหมณ์กล่าวอย่างนี้แล้ว พวก
พราหมณ์เหล่านั้นดังนี้เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เหมาะทีเดียว คือควรทีเดียว. บทว่า แม้
ด้วยเสบียง
เสบียงอาหารท่านเรียกว่า ปุโฏสะ ความว่า การที่แม้จะถือ
เสบียงนั้นไปเฝ้าก็ควรทีเดียว. บาลีว่า ปฏํเสน ดังนี้ก็มี. บทนั้นมีอธิบาย
ว่า ห่อของบนบ่าของบุคคลนั้นมีอยู่ เหตุนั้น เขาชื่อว่ามีห่อของบนบ่า.
ด้วยบ่ามีห่อของนั้น. มีอธิบายว่า ด้วยบ่าที่แบกเสบียงไป ดังนี้ก็มี.

บทว่า ผู้ผ่านพ้นราวป่าไปแล้ว คือ ผู้ไปสู่ภายในราวป่า อธิบายว่า
ผู้เข้าไปยังภายในวิหารแล้ว.
บทว่า ประนมอัญชลี ความว่า พวกพราหมณ์ซึ่งเป็นสองฝักสอง
ฝ่ายคิดอย่างนี้ว่า แม้ถ้าว่าพวกมิจฉาทิฏฐิจักทักท้วงพวกเราว่า เพราะเหตุ
ไร พวกท่านจึงถวายบังคมพระสมณโคดม พวกเราจะกล่าวแก่เขาว่าแม้ด้วย
การกระทำเพียงอัญชลี ยังชื่อว่าไหว้ด้วยหรือ ถ้าว่าพวกสัมมาทิฏฐิจัก
ทักท้วงพวกเราว่า เพราะเหตุไร พวกท่านจึงไม่ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า
พวกเราจักบอกว่า การเอาศีรษะกระทบพื้นแผ่นดินนั่นแหละจึงจะเป็นการ
ไหว้หรือ แม้การกระทำอัญชลี ก็ชื่อว่าการไหว้เหมือนกันมิใช่หรือ.
บทว่า ชื่อและโคตร ความว่า พวกพราหมณ์เมื่อกราบทูลว่า ข้าแต่.
พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์เป็นบุตรของคนชื่อโน้น ชื่อทัตตะ ชื่อมิตตะ
มาในที่นี้ ดังนี้ ชื่อว่าประกาศชื่อ พวกที่กล่าวว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้า
พระองค์ชื่อวาเสฏฐะ ชื่อกัจจานะ มาในที่นี้ดังนี้ ชื่อว่า ประกาศโคตร.
ได้ยินว่า พวกพราหมณ์เหล่านั้นเป็นกุลบุตรที่ยากจนแก่เฒ่า ได้กระทำ
อย่างนี้ ในท่ามกลางที่ประชุม ด้วยคิดว่า พวกเราจักปรากฏด้วยอำนาจแห่ง
ชื่อและโคตร.
ส่วนพราหมณ์เหล่าใด นั่งนิ่งอยู่ พราหมณ์เหล่านั้นเป็นพวกหลอก
ลวง และเป็นอันธพาล. บรรดาพราหมณ์สองพวกนั้น พวกพราหมณ์ที่
หลอกลวงคิดว่า คนเมื่อกระทำแม้การคุยกันเพียงคำสองคำก็คุ้นเคยกันได้
ต่อมาเมื่อมีความคุ้นเคยกันแล้ว จะไม่ให้ภักษาหาร 1-2 หาควรไม่ ดังนี้
ปลดเปลื้องตนจากข้อนั้น จึงนั่งนิ่งเสีย. พวกพราหมณ์ที่เป็นอันธพาลเพราะ
เหตุที่ไม่รู้อะไรนั่นเอง จึงนั่งนิ่ง ไม่ว่าในที่ไหน ๆ เป็นดุจก่อนดินเหนียว
ที่เขาขว้างทิ้งแล้ว.

บทว่า ความตรึกตรองแห่งใจ ด้วยพระทัย ความว่า พระผู้มีพระ
ภาคเจ้าทรงใคร่ครวญดูอยู่ว่า พราหมณ์นี้จำเดิมแต่กาลที่ตนมาแล้ว ก้มหน้า
มีตัวแข็งทื่อ นั่งคิดอะไรอยู่ กำลังคิดอะไรหนอ ก็ได้ทรงทราบจิตของ
พราหมณ์นั้น ด้วยพระทัยของพระองค์ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
ทรงทราบความตรึกตรองแห่งใจด้วยพระทัย ดังนี้. บทว่า ย่อมเดือดร้อน
คือ ถึงความลำบากใจ
บทว่า เหลียวดูชุมนุมชน ความว่า โสณฑัณฑพราหมณ์มีกายและใจ
สงบระงับแล้วราวกะจมลงในน้ำ ด้วยการตรัสถามปัญหาในลัทธิของตน
ถูกพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยกขึ้นแล้ววางไว้บนบก คล้าย ๆ จะกล่าวว่า ขอ
ท่านผู้เจริญจงใคร่ครวญดูคำพูดของข้าพระองค์ด้วยการสัญจรไปแห่งทิฏฐิ
แม้เพื่อสงเคราะห์ชุมนุมชน ดังนี้แล้วเหลียวดูชุมนุมชน ได้กราบทูลคำ
นั้นกะพระผู้มีพระภาคเจ้า. บทว่า ผู้รับการบูชา ความว่า เป็นคนที่ 1 หรือ
ที่ 2 ในบรรดาพราหมณ์ที่รับการบูชา เพื่อประโยชน์แก่การบูชายัญ. ท่าน
โบราณาจารย์กล่าวว่า ผู้รับการบูชาอย่างใหญ่ที่เขาให้อยู่เพื่อบูชา.
พราหมณ์เฉลยปัญหาถูกต้องแท้ด้วยอำนาจลัทธิของตน ด้วยประ-
การฉะนี้. แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อจะทรงแสดงถึงพราหมณ์ผู้สูงสุดเป็น
พิเศษ จึงได้ตรัสพระดำรัสเป็นต้นว่า อิเมสํ ปน ดังนี้.
บทว่า พวกพราหมณ์ได้กล่าวคำนี้ ความว่า พวกพราหมณ์คิดว่า
ถ้าพราหมณ์ผู้สมบูรณ์ด้วยชาติ วรรณะ และมนต์ไม่มี เมื่อเป็นเช่นนั้น
ใคร่เล่าจักเป็นพราหมณ์ในโลก โสณทัณฑพราหมณ์นี้ทำให้พวกเรา
ฉิบหาย เอาเถอะ เราจะกล่าวต่อต้านวาทะของเขา ดังนี้ จึงได้กล่าวคำนี้
บทว่า กล่าวลบหลู่ คือ กล่าวต่อต้าน. บทว่า กล่าวคล้อยตามเข้าไป.
พวกพราหมณ์กล่าวคำนี้ด้วยมีประสงค์ว่า ถ้าท่านใคร่จะถึงพระสมณโคดม

เป็นที่พึ่งด้วยอำนาจแห่งความเลื่อมใส ท่านจงไปเสีย อย่ามาทำลายลัทธิ
ของพราหมณ์เลย ดังนี้.
บทว่า ได้ตรัสพระดำรัสนี้ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดำริว่า
เมื่อพวกพราหมณ์เหล่านี้ต่างวิวาทกันเป็นเสียงเดียวอยู่อย่างนี้ กถานี้จักไม่
ถึงที่สุดได้ เอาเถอะ เราจะทำให้พวกเขาเงียบเสียงแล้วพูดกับโสณทัณฑ-
พราหมณ์เท่านั้น ดังนี้แล้วจึงได้ตรัสพระดำรัสนี้ว่า สเจ โข ตุมฺหากํ
เป็นต้น. บทว่า เป็นไปกับด้วยธรรม คือเป็นไปด้วยเหตุ. บทว่า มี
วรรณะเสมอเหมือนกัน
คือ เสมอกันโดยความเป็นผู้เหมือนกัน ยกเว้นความ
เป็นผู้เสมอกันโดยเอกเทศ อธิบายว่า เสมอกันโดยอาการทั้งปวง. บทว่า เรา
รู้จักมารดาและบิดาของเขา
คือเขาจักไม่รู้จักมารดาและบิดาของน้องสาว
ได้อย่างไร เขากล่าวหมายถึงการแสดงลำดับสกุลต่างหาก. บทว่า พึงกล่าว
เท็จบ้าง
คือพึงกล่าวคำเท็จที่ตัดรอนประโยชน์. บทว่า วรรณะจักทำอะไรได้
คือ เมื่อคุณความดีภายใน ไม่มีอยู่ วรรณะจักทำอะไรได้ อธิบายว่า เขาจัก
สามารถรักษาความเป็นพราหมณ์ของเขาไว้ได้อย่างไร. แม้ถ้าจะพึงมีอีก เมื่อ
พราหมณ์ผู้ตั้งอยู่ในปกติศีล องค์อื่นๆ ก็ยังความเป็นพราหมณ์ให้สำเร็จได้
เพราะศีลอย่างเดียวก็ให้สำเร็จเป็นพราหมณ์ได้อย่างนี้ ก็ครั้นปกติศีลนั้น
ของเขาไม่มี ความเป็นพราหมณ์ก็ไม่มี เพราะฉะนั้น องค์ทั้งหลายมีวรรณะ
เป็นต้นเป็นสิ่งงมงาย.
ก็พราหมณ์ทั้งหลาย ได้ยินคำนี้แล้ว ได้เป็นผู้นิ่งเสีย ด้วยคิดว่า
อาจารย์กล่าวถูกต้องและพวกเรากล่าวโทษโดยหาเหตุมิได้. ลำดับนั้น พระ
ผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อพราหมณ์กล่าวเฉลยปัญหาแล้ว เพื่อจะทรงทดลองเขา
ว่า ก็ในข้อนี้เขาจักสามารถเพื่อจะยืนยันหรือไม่สามารถ จึงได้ตรัสพระ
ดำรัสว่า อิเมสํ ปน พฺราหฺมณ เป็นต้น.

บทว่า อันศีลชำระให้บริสุทธิ์ คือ บริสุทธิ์ได้เพราะศีล. บท
ว่าศีลมีในที่ใด ปัญญาก็มีในที่นั้น คือ ศีลมีในบุคคลใด ปัญญา
ก็มีในบุคคลนั้น. ในบุคคลผู้ทุศีล ปัญญาจะมีแต่ที่ไหน หรือว่า
ในบุคคลที่เว้นจากปัญญา ที่โง่เขลา ที่ทั้งหนวก และใบ้ ศีลจะมีแต่ที่ไหน
บทว่า ศีลและปัญญา คือ ศีลด้วย ปัญญาด้วย ชื่อว่า ศีลและปัญญา
บทว่า ปญญฺาณํ คือ ปัญญานั่นเอง.
พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงยอมรับคำพูดของพราหมณ์ จึงได้
ตรัสว่า พราหมณ์ ข้อนั้นเป็นเช่นนั้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปัญญาที่
ศีลชำระให้บริสุทธิ์แล้ว
คือที่ปาริสุทธิศีล 4 ชำระแล้ว. ถามว่า บุคคล
ย่อมชำระปัญญาด้วยศีลอย่างไร. แก้ว่า ศีลของปุถุชนใด ไม่ขาดตกบก-
พร่องตลอด 60 ปี และ 80 ปี แม้ในเวลาถึงแก่กรรม เขาฆ่ากิเลสทั้ง
หมดได้ ชำระปัญญาด้วยศีล ยังถือเอาพระอรหัตได้ ดุจพระมหาสัฏฐิวัสส-
เถระ อยู่ในบริเวณต้นสาละในซอกเขา ฉะนั้น.
ได้ยินว่า เมื่อพระเถระนอนอยู่บนเตียงที่จะมรณภาพ ร้องครวญ-
ครางอยู่ เพราะเวทนากล้า ติสสวสภมหาราช เสด็จไปด้วยทรงดำริว่า เรา
จักเยี่ยมพระเถระ ประทับยืนที่ประตูบริเวณทรงสดับเสียงนั้น จึงตรัสถาม
ว่า นี้เสียงของใคร. เสียงร้องครวญครางของพระเถระ ภิกษุหนุ่มผู้อุปฐาก
ทูล. พระองค์ทรงดำริว่า พระเถระมีพรรษาตั้ง 60 โดยการบรรพชา
มิได้กระทำแม้เพียงการกำหนดรู้เวทนา บัดนี้เราจักไม่ไหว้ท่านละ ดังนี้แล้ว
เสด็จกลับไปนมัสการต้นมหาโพธิ. ลำดับนั้นภิกษุหนุ่มผู้อุปฐากจึงพูดกะ
พระเถระว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ทำไมท่านจึงทำให้พวกผมได้รับความอับ-
อาย พระราชาทั้งที่ทรงมีศรัทธา ยังทรงปฏิสารเสด็จไปเสีย ด้วยทรง

ดำริว่า เราจักไม่ไหว้. พระเถระกล่าวว่า เพราะเหตุไร ผู้มีอายุ. ภิกษุหนุ่ม
ผู้อุปฐากกล่าวตอบว่า เพราะทรงสดับเสียงร้องครวญครางของท่าน
พระเถระกล่าวว่า ถ้ากระนั้น พวกเธอจงให้โอกาสแก่เรา ดังนี้แล้ว
ข่มเวทนาเสียได้บรรลุพระอรหัต จึงให้สัญญาแก่ภิกษุหนุ่มว่า ผู้มีอายุ ท่าน
จงไป บัดนี้ท่านจงให้พระราชามาไหว้เราได้. ภิกษุหนุ่มไปแล้ว ทูลว่า
นัยว่า บัดนี้ขอพระองค์จงทรงไหว้พระเถระเถิด พระราชา เมื่อจะทรงไหว้
พระเถระด้วยการพังพาบดุจจรเข้ จึงตรัสว่า ข้าพเจ้ามิได้ไหว้พระอรหัต
ของพระผู้เป็นเจ้า แต่ไหว้ท่านผู้ที่ดำรงอยู่ในภูมิแห่งปุถุชน แต่รักษา
ศีลต่างหาก ดังนี้. บุคคลชื่อว่า ชำระปัญญาด้วยศีล ด้วยประการฉะนี้.
ก็ในภายในของผู้ใด การสำรวมในศีลไม่มี แต่เพราะเหตุที่ตนเป็น
ผู้รู้ในฉับพลัน ในที่สุดแห่งคาถาประกอบด้วยสี่บท เขาผู้นั้นชำระศีลด้วย
ปัญญาแล้ว บรรลุอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา. ผู้นี้ชื่อว่าชำระศีลด้วยปัญญา
เหมือนสันตติมหาอำมาตย์.
เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า พราหมณ์ ก็ศีลนั้นเป็น
ไฉน. ได้ยินว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดำริว่า พราหมณ์ทั้งหลาย ย่อม
บัญญัติศีล 5 ว่าเป็นศีล ย่อมบัญญัติความรอบรู้ในไตรเทพว่าเป็นปัญญา
ในลัทธิของพราหมณ์ ไม่รู้สิ่งที่วิเศษเห็นขึ้นไป ถ้ากระไรเราพึงแสดง
มรรคศีล ผลศีล มรรคปัญญา และผลปัญญา ที่เป็นของวิเศษยิ่ง แก่
พราหมณ์ พึงให้เทศนาจบลงด้วยยอดคืออรหัต ดังนี้. ลำดับนั้น พระองค์
เมื่อจะตรัสถามพราหมณ์ด้วยกเถตุกามยตาปุจฉา (ถามโดยมีพระประสงค์จะ
ทรงตอบเอง) จึงตรัสว่า พราหมณ์ ศีลนั้นเป็นไฉน ปัญญานั้นเป็นไฉน
ดังนี้.

ลำดับนั้น พราหมณ์คิดว่า ปัญญาเราเฉลยแล้วด้วยอำนาจแห่งลัทธิ
ของตน แต่พระสมณโคดมกลับย้อนถามเราอีก บัดนี้เราจะพึงสามารถที่จะ
เฉลยปัญหาทำให้พระทัยของพระองค์ยินดี หรือไม่สามารถ ถ้าเราจักไม่
สามารถ ความละอายของเราแม้ที่เกิดในครั้งแรก จักทำลายไป แต่โทษใน
การกล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่สามารถ ดังนี้ ไม่มีแก่เราผู้ไม่สามารถอยู่ ดังนี้ จึง
ย้อนกลับมา ทำให้เป็นภาระแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าองค์เดียวอีก จึงกราบทูล
คำเป็นต้นว่า ก็ข้าพระองค์ทั้งหลายมีความรู้เพียงแค่นี้ ดังนี้. บรรดาบทเหล่า
นั้น บทว่า มีความรู้เพียงแค่นี้ คือ ศีลและปัญญา เพียงแค่นี้ ได้แก่ศีล
และปัญญา เพียงนี้เท่านั้น เป็นอย่างยิ่ง ของข้าพระองค์ทั้งหลาย ความว่า
พวกข้าพระองค์เหล่านั้นมีศีลและปัญญา เพียงแค่นี้ เป็นอย่างยิ่ง คือไม่
ทราบเนื้อความแห่งคำที่ตรัสนั้น ยิ่งขึ้นไปกว่านั้น.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อจะทรงแสดงศีลและปัญญา จำเดิม
แต่การอุบัติของพระตถาคต ผู้ทรงเป็นรากเง่าของศีลและปัญญาแก่เขา จึง
ตรัสพระดำรัสว่า พราหมณ์ ตถาคตในโลกนี้ ดังนี้ เป็นต้น. ใจความ
แห่งบทนั้น พึงทราบตามนัยที่ท่านกล่าวไว้แล้ว ในสามัญญผลสูตรนั้นแล.
แต่ข้อแตกต่างมีดังต่อไปนี้. ในที่นี้ศีลแม้ทั้งสามอย่างนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงชี้ชัด ว่าเป็นศีลโดยแท้อย่างนี้ว่า แม้ข้อนี้ก็จัดอยู่ในศีลของเธอ. ฌาน 4
มีปฐมฌานเป็นต้น โดยความจัดเป็นปัญญาสัมปทา. พระผู้มีพระภาคเจ้า มิได้
ทรงชี้ชัดด้วยอำนาจแห่งปัญญา ทรงแสดงโดยเพียงเป็นปทัสถานแห่งปัญญา
มีวิปัสสนาเป็นต้น ทรงชี้ชัดถึงปัญญา จำเดิมแต่วิปัสสนาปัญญา ด้วยประการ
ฉะนี้. บทว่า เพื่อฉันในวันพรุ่งนี้ พึงทราบใจความตามนัยที่กล่าวแล้วใน
คำนี้ว่าเพื่อฉันในวันนี้นั่นแล.

บทว่า ชุมนุมชนนั้นพึงดูหมิ่นข้าพระองค์ เพราะเหตุนั้น ความว่า
ชุมนุมชนนั้น พึงดูหมิ่นข้าพระองค์ เพราะเหตุที่เห็นพระองค์แต่ไกลแล้ว
ลุกจากอาสนะนั้นว่า โสณทัณฑพราหมณ์นี้ เป็นคนแก่ตั้งอยู่ในปัจฉิมวัย
แล้ว แต่พระโคดมยังหนุ่ม เป็นเด็ก แม้เป็นหลานของเขาก็ยังไม่ได้ เขา
ยังลุกจากอาสนะของตน ให้แก่พระโคดมผู้ยังไม่ถึงแม้ความเป็นหลานของ
ตน. บทว่า การประคองอัญชลีนั้นแทนการลุกจากอาสนะของข้าพระองค์
ความว่า โสณทัณฑพราหมณ์กราบทูลว่าขึ้นชื่อว่า การไม่ลุก เพราะไม่
เคารพของข้าพระองค์ไม่มี แต่ข้าพระองค์จักไม่ลุก เพราะกลัวโภคสมบัติ
จะฉิบหาย ข้อนั้นควรมี พระองค์และข้าพระองค์จะต้องทราบ เพราะฉะนั้น
ขอพระโคดมผู้เจริญได้โปรดทรงเข้าใจการประคองอัญชลีนั้น เป็นการแทน
การลุกขึ้นรับ. ได้ยินว่า คนหลอกลวงเช่นกับโสณทัณฑพราหมณ์นี้ หา
ได้ยาก. ก็ชื่อว่า ความไม่เคารพในพระผู้มีพระภาคเจ้า ของพราหมณ์นี้
ไม่มี เพราะฉะนั้น เขากล่าวอย่างนั้นด้วยอำนาจแห่งการหลอกลวง เพราะ
กลัวว่า โภคสมบัติจะฉิบหาย. แม้ในบทอื่น ก็มีนัยเช่นเดียวกันนี้. ใน
บทว่า ด้วยกถาอันประกอบด้วยธรรมเป็นต้น มีความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงแสดงให้เห็นจริง ซึ่งประโยชน์ที่เป็นปัจจุบันและเบื้องหน้า ทรง
ให้เขายึดมั่น คือ ให้ถือเอาธรรมที่เป็นกุศล ทรงให้เขาอาจหาญในธรรม
ที่เป็นกุศลนั้น คือกระทำเขาให้มีความอุตสาหะ ทำให้เขาร่าเริง ด้วยความ
เป็นผู้มีอุตสาหะนั้น และคุณที่มีอยู่อย่างอื่น ทรงให้ฝนคือพระธรรมรัตนะ
ตกลงแล้ว เสด็จลุกจากอาสนะ หลีกไป.
ก็พราหมณ์เพราะเหตุที่ตนเป็นคนหลอกลวง เมื่อพระผู้มีพระภาค
เจ้าทรงให้ฝนคือพระธรรมตกลงอยู่แม้ด้วยประการฉะนี้ ก็ไม่สามารถที่จะยัง
คุณวิเศษให้เกิดขึ้นได้. กถาทั้งหมด ได้เป็นกถาเบื้องต้น และเบื้องปลาย

เพื่อประโยชน์แก่นิพพาน ในกาลต่อไป และเพื่อมีส่วนแห่งวาสนาของ
พราหมณ์อย่างเดียว.
อรรถกถาโสณทัณฑสูตร ในอรรถกถาทีฆนิกาย ชื่อสุมังคลวิลาสินี
จบลงแล้ว ด้วยประการฉะนี้.
จบอรรถกถาโสณทัณฑสูตร ที่ 4

5. กูฏทันตสูตร


เรื่องกูฏทันตพราหมณ์


[199] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จจาริกไปในมคธชนบท พร้อม
ด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ประมาณ 500 รูป ได้เสด็จถึงพราหมณคามของ
ชาวมคธชื่อ ขานุมัตตะ. ได้ยินว่าในสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ
อยู่ในสวนอัมพลัฏฐิกา ใกล้บ้านขานุมัตตะ สมัยนั้นพราหมณ์กูฏทันตะ
อยู่ครองบ้านขานุมัตตะ อันคับคั่งด้วยประชาชนและหมู่สัตว์ อุดมด้วยหญ้า
ด้วยไม้ ด้วยน้ำ สมบูรณ์ด้วยธัญญาหาร ซึ่งเป็นราชสมบัติ อันพระเจ้า-
แผ่นดินมคธ จอมเสนา พระนามว่า พิมพิสาร พระราชทานปูนบำเหน็จ
ให้เป็นส่วนพรหมไทย.

มหายัญของกูฏทันตพราหมณ์


[200] ก็ในสมัยนั้น พราหมณ์กูฏทันตะได้เตรียมมหายัญ โคผู้
700 ตัว ลูกโคผู้ 700 ตัว ลูกโคเมีย 700 ตัว แพะ 700 ตัว และแกะ
700 ตัว ถูกนำเข้าไปผูกไว้ที่หลัก เพื่อบูชายัญ. พราหมณ์และคฤหบดี
ชาวบ้านขานุมัตตะ ได้สดับว่า พระสมณโคดมศากยบุตร ทรงผนวชจาก
ศากยสกุล เสด็จจาริกไปในมคธชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประ-
มาณ 500 รูป เสด็จถึงบ้านขานุมัตตะ ประทับอยู่ในสวนอัมพลัฏฐิกาใกล้
บ้านขานุมัตตะ เกียรติศัพท์อันงามของพระสมณโคดมพระองค์นั้นขจรไป
แล้วอย่างนี้ว่า